ประมาณช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน แถวบ้านเจ้าของบล็อกจะมีลูกตาลออกมาเยอะค่ะ นอกจากจะนำเนื้อลูกตาลอ่อนมารับประทานสดแล้ว ทางภาคใต้ยังนิยมนำหัวลูกตาลอ่อนหรือภาษาถิ่นเรียกว่า"หัวโหนด" มาใช้ปรุงอาหารอีกด้วย อย่างเช่น ยำหัวโหนด แกงคั่วหัวโหนด ที่เจ้าของบล็อกจะนำเสนอในวันนี้ค่ะ
เครื่องปรุง
1.ลูกตาลอ่อน 4 ลูก
2.หมูเนื้อแดงติดมันเล็กน้อย 1/2 ก.ก.
3.มะพร้าวขูด 1/2 ก.ก.
4.น้ำพริกแกงเผ็ด 1 1/2 ขีด
5.กะปิ 1 1/2 ขีด
6.พริกชี้ฟ้าเม็ดใหญ่ เขียว แดง อย่างละ 2 เม็ด
7.ใบมะกรูด ตามชอบ
8.น้ำปลาดี
9.น้ำตาลทราย
10.น้ำมันสำหรับทอด (ถ้าไม่สะดวกที่จะย่างหมู ใช้ทอดแทนก็ได้ค่ะ)
ล้างเนื้อหมูให้สะอาด ถ้าชิ้นหนาเกินไปผ่าครึ่ง เจ้าของบล็อกอยู่บ้านในเมืองไม่สะดวกที่จะก่อไฟย่างหมูค่ะ เลยใช้วิธีทอดแทน ให้กลิ่นหอมเหมือนกันแต่หากใช้วิธีย่างกลิ่นจะหอมกว่า เอากระทะตั้งไฟให้ร้อนใส่น้ำมันลงไป ใส่หมูลงไปทอดให้สุกเหลืองค่ะ
หั่นเนื้อหมูเป็นชิ้นๆ พอดีคำ พักไว้ก่อน จากนั้นก็คั้นกะทิโดยคั้นแบบแยกหัวกะทิ และหางกะทิค่ะ คั้นครั้งแรกใช้น้ำประมาณ 1 1/2 ถ้วยตวง ได้หัวกะทิแล้วใส่ชามพักไว้ คั้นครั้งที่สองและสามให้ได้หางกะทิประมาณ 2-3 ถ้วยตวง ใส่หม้อที่จะใช้แกง พักไว้ก่อน
วิธีเตรียมหัวลูกตาลอ่อน หรือ หัวโหนด นำลูกตาลอ่อนมาแกะกลีบเลี้ยงที่แข็งๆออกใหหมด จากนั้นใช้มีดปอกเปลือกตรงส่วนที่เป็นสีขาวออกค่ะ จากนั้นใช้ปลายมีดแซะเอาจุกแข็งๆตรงหัวออกให้หมด
ใส่น้ำในกะละมัง ใส่เกลือป่นลงไปประมาณ 1 ช้อนโต๊ะ แล้วค่อยๆสับหัวลูกตาลตรงส่วนที่อ่อนให้เป็นชิ้นบางๆลงไปในอ่างน้ำที่ใส่เกลือไว้ สับไปจนถึงส่วนที่แก่ค่ะ ส่วนเนื้อลูกตาลควักออกมาใส่ลงในแกงด้วย
หัวลูกตาลอ่อน หรือหัวโหนดที่พร้อมที่จะแกง
ใบมะกรูด พริกชี้ฟ้า ล้างน้ำให้สะอาด ใบมะกรูดฉีกเป็นใบเล็กๆ พริกชี้ฟ้าหั่นแฉลบตามภาพ
เตรียมเครื่องปรุงพร้อมแล้วก็ลงมือแกงกันเลยค่ะ
เอาหม้อที่ใส่หางกะทิไว้ตั้งไฟ พอเดือดนำน้ำพริกแกงและกะปิลงไปละลาย ปล่อยให้เดือดอีกครั้งจนน้ำแกงเริ่มมีกลิ่นหอม ใส่หัวลูกตาลอ่อนกับหมูทอดลงไป ก่อนใส่หัวลูกตาลอ่อนบีบให้สะเด็ดน้ำก่อนนะคะ ไม่งั้นแกงจะมีน้ำมากเกินไปทำให้รสชาติจืดลงไปกว่าที่ควรจะเป็นค่ะ
ใส่หัวลูกตาลกับหมูทอดลงไปแล้ว รอให้เดือด คนให้ทั่ว จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป คนอีกครั้ง ชิมรสชาติดูให้ออกรสเผ็ด เค็ม หวานปะแล่มๆ ถ้ารสชาติยังไม่ถูกใจสามารถเติมน้ำปลาดี กับน้ำตาลทรายเพิ่มได้ เจ้าของบล็อกเติมน้ำปลาลงไปอีก 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำตาลทรายอีก 1 ช้อนโต๊ะ ทั้งนี้การที่จะเติมน้ำปลาเพิ่มหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความเค็มของน้ำพริกแกงและกะปิค่ะ เมื่อชิมรสถูกใจแล้ว ปล่อยให้เดือดอีกครั้งก็ปิดไฟได้เลย อย่าปล่อยให้เดือดนานค่ะ เพราะหัวกะทิจะแตกมัน แล้วจะไม่อร่อย
ตักใส่ชามเสิร์ฟได้เลยค่ะ
สำหรับบล็กนี้ก็ลากันไปเพียงเท่านี้ก่อนนะคะ ขอบคุณทุกท่านที่แวะเข้ามาชม สวัสดีค่ะ ^_^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น